Gashadokuro คืออะไร ผีกระดูกยักษ์ จากเถ้าสงคราม

Gashadokuro คืออะไร

Gashadokuro คืออะไร บทความนี้จะมาตอบคำถามในความสงสัยให้แถลงไข เกี่ยวกับความเชื่อ และ ภูตโยไก ญี่ปุ่น ที่เป็นหนึ่งใน Pop cuture ของญี่ปุ่น โดยเริ่มจากการอธิบายความเป็นมาเป็นไปของมัน ในตำนานแรกเริ่มที่น่าสนใจ พร้อมไปดูลักษณะ ความสามารถ และความสำคัญของตัวนี้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมถึงการนำมาทำเป็นสื่อต่างๆ อีกด้วย

ตำนานแรกเริ่ม ของ Gashadokuro คืออะไร

เป็นโยไกกระดูกยักษ์ในตำนานญี่ปุ่น มีรากฐานมาจากความเชื่อเรื่องวิญญาณอาฆาตของผู้เสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน โดยเฉพาะเหล่าทหารและคนอดอยากที่เสียชีวิตโดยไร้พิธีฝังศพอย่างเหมาะสม วิญญาณของพวกเขาหลอมรวมกันจนกลายเป็นปีศาจโครงกระดูกขนาดมหึมาตำนานของกะชาดกุโระมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ และถูกบันทึกในศิลปะญี่ปุ่นหลายแห่ง

ตำนานแรกเริ่ม

  • ไทระ โนะ มาซาคาโดะ เป็นซามูไรชื่อดังแห่งยุคเฮอัน (ค.ศ. 794–1185) ซึ่งเป็นขุนศึกที่ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลเฮอันและพยายามตั้งตนเป็นจักรพรรดิแห่งภูมิภาคคันโต อย่างไรก็ตาม เขาถูกปราบปรามในปี ค.ศ. 940 และถูกประหาร โดยศีรษะของเขาถูกนำไปแขวนประจานที่เกียวโต 
  • หลังจากการตายของมาซาคาโดะ มีเรื่องเล่าขานกันว่า เหล่าวิญญาณของซามูไรที่ตายไปพร้อมกับเขาไม่ได้ไปสู่สุคติ พวกเขาถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการฝังอย่างเหมาะสม ทำให้พลังวิญญาณรวมตัวกันจนก่อกำเนิดเป็นกะชาดกุโระ โครงกระดูกยักษ์ที่ออกอาละวาดและหลอกหลอนผู้คนในเขตคันโต
  • ตำนานนี้ทำให้มาซาคาโดะกลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ไม่ใช่เพียงแค่ซามูไรผู้กล้าหาญ แต่ยังถูกเคารพในฐานะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้า Kanda Myojin ในโตเกียว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของวิญญาณเขา เพื่อลดแรงอาฆาตและปกป้องผู้คนจากภัยพิบัติแทน

ที่มา: Gashadokuro [1]

รูปลักษณ์ที่ปรากฏ ตามตำนานของญี่ปุ่น

กะชาดกุโระเป็นโยไกประเภทโครงกระดูกยักษ์ มีขนาดมหึมา สูงถึง 15 เท่าของมนุษย์ปกติ (บางตำนานกล่าวว่าอาจสูงถึง 90 ฟุต) มีรูปร่างเป็นกะโหลกและโครงกระดูกมนุษย์ที่บิดเบี้ยวจากซากศพของผู้ที่เสียชีวิตจากความอดอยากและสงคราม ตำนานบางแหล่งอธิบายว่า กะชาดกุโระจะมีแสงวาววับที่ดวงตาหรือเบ้าตากลวง และมีเสียงกระดูกกรอบแกรบเมื่อมันเคลื่อนไหว

ลักษณะพิเศษ

  • ล่องหนและเงียบเชียบ มันสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่มีเสียงให้ได้ยิน จนกระทั่งมันเข้าใกล้เป้าหมาย
  • เสียงกระดูกดังกรอบแกรบ หากได้ยินเสียงกระดูกลั่นในเวลากลางคืน อาจหมายถึงกะชาดกุโระกำลังเข้าใกล้
  • ฟันคมและมือยาวใหญ่ ใช้ในการบดขยี้หรือกัดกินเหยื่อ
  • ตำนานยังเล่าว่า กะชาดกุโระจะปรากฏตัวในยามค่ำคืน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเที่ยงคืนจนถึงรุ่งสาง ล่าเหยื่ออย่างไร้ปรานี และกัดกินร่างมนุษย์จนไม่เหลือซาก ผู้คนเชื่อว่ามันเป็นร่างอาฆาตที่รวมพลังของวิญญาณที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย 

ความเชื่อ ชาติอื่นที่คล้ายคลึงกับกะชาดกุโระ

ตำนานเกี่ยวกับภูตผีและเรื่องลี้ลับมีอยู่ทั่วโลกมาเป็นเวลายาวนาน เป็นไปได้หรือไม่ที่ปีศาจตนนี้จะถูกเรียกด้วยชื่ออื่นหรือปรากฏอยู่ในประเทศอื่นนอกเหนือจากญี่ปุ่น โดยได้มีเว็บไซต์ porcupinebook ที่ได้ทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่า กะชาดกุโระ หรือปีศาจโครงกระดูกยักษ์ เป็นตำนานที่มีเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ก็มีตำนานปีศาจที่คล้ายผีกระดูกกินคนอยู่บ้างดังนี้

อาทาเซีย (Átahsaia)

  • อาทาเซีย เป็นยักษ์กินคนตามตำนานของชาวซูนิ ชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ โดยถูกจัดให้เป็นปีศาจที่มีรูปร่างใหญ่โต กายละเอียด ผมหงอกขาวฟูคล้ายแผงคอสัตว์ ผิวหนังหยาบกร้านเต็มไปด้วยปุ่มปม ดวงตาเบิกกว้างไม่กะพริบ มีเขี้ยวแหลมโผล่จากปาก และกรงเล็บยาว นอกจากนี้ยังถืออาวุธอันน่าสะพรึงกลัว เช่น ขวานหิน มีดหิน และธนูไม้โอ๊ก

  • ตำนานเกี่ยวกับอาทาเซียมีอยู่หลายเรื่อง แต่ทั้งหมดล้วนกล่าวถึงความโหดร้ายและกระหายเลือดของมัน ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัว พ่อแม่ชาวซูนิมักใช้เรื่องราวของอาทาเซียเพื่อสอนลูกหลานให้เชื่อฟังและระมัดระวังตัว ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญกับอันตรายจากอสูรร้ายตนนี้

เวนดิโก (Wendigo)

  • ปีศาจแห่งพงไพรในตำนานของชนพื้นเมืองอเมริกัน ลักษณะของเวนดิโกนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ผอมแห้งจนเห็นกระดูก ตาลึกโบ๋ ริมฝีปากแห้งแตก พร้อมด้วยเขี้ยวและเล็บที่ยาวแหลม อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าราวกับศพ ที่น่าสะพรึงกว่านั้นคือ มันสามารถเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่กินเนื้อมนุษย์

  • เวนดิโกมักถูกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์การหายตัวไปของนักเดินป่าในอเมริกามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ปีศาจในตำนาน แต่ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างความหวาดกลัวและลึกลับจนหลายคนตั้งคำถามว่ามันอาจมีตัวตนอยู่จริง

พิชาชา (Pishacha)

  • ปิศาจกินคนในตำนานฮินดู เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับจากความเชื่อของศาสนาฮินดูในประเทศอินเดีย ลักษณะของมันน่าสะพรึงกลัว ด้วยผิวคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ และเส้นเลือดที่ปูดโปนไปทั่วร่างกาย มันมักจะปรากฏตัวในสถานที่มืดมิด รกร้าง หรือบริเวณเตาเผาศพ แม้ว่าจะไม่มีการระบุที่มาของมันอย่างแน่ชัด แต่เรื่องเล่าต่าง ๆ ล้วนบรรยายถึงความดุร้ายและกระหายเลือดของปีศาจตนนี้

ที่มา: กะชาดกุโระ (Gashadokuro) ตำนานปิศาจโครงกระดูกยักษ์แห่งประเทศญี่ปุ่น [2]

กะชาดกุโระ ในงานวรรณกรรมและสื่อบันเทิง

กะชาดกุโระเป็นโยไกที่ได้รับความนิยมในวรรณกรรม ภาพวาด และสื่อบันเทิงของญี่ปุ่น เนื่องจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและความน่าสะพรึงกลัวของมัน อย่างงานภาพวาดที่ปรากฏขึ้นอย่างหลากหลาย อย่างภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดที่เกี่ยวข้องกับกะชาดกุโระคือ “ทาคิยาชะฮิเมะกับโครงกระดูกยักษ์” (Takiyasha Hime and the Skeleton Specter) ผลงานของ อุทากาวะ คุนิโยชิ และอื่นๆ อีกดังนี้

  • ภาพของ “กะชาดกุโระ” มีหลากหลายรูปแบบ แต่หนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ภาพพิมพ์ไม้แกะสลักสามส่วนของ คุนิโยชิ อุตากาวะ ในปี ค.ศ. 1844 ซึ่งมีชื่อว่า ทาคิยาชะแม่มดและอสุรกายโครงกระดูก ภาพนี้แสดงฉากที่เจ้าหญิงทาคิยาชะเรียกวิญญาณออกมาปกป้องพระราชวังจากศัตรู ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพจำของตำนานกะชาดกุโระ 
  • ปัจจุบัน ปีศาจโครงกระดูกผู้หิวโหย ยังคงปรากฏในวัฒนธรรมป๊อปในฐานะตัวละครฝ่ายศัตรู เช่น ใน ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Pompoko (1994) และในมังงะชื่อดังอย่าง One Piece (1997) และ Inu x Boku SS (2009) [3]

โครงกระดูก Pop Cuture ที่โดดเด่นของญี่ปุ่น

หนึ่งในโยไกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่น และยังคงถูกนำมาเล่าใหม่ผ่านงานศิลปะและสื่อบันเทิงอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ผลงานของ Utagawa Kuniyoshi ที่แสดงให้เห็นโครงกระดูกยักษ์ที่ถูกเรียกออกมาโดยเจ้าหญิงทาคิยาชะ เพื่อต่อสู้กับศัตรูของเธอ ทำให้ภาพนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับสื่ออื่นๆ ที่นำกะชาดกุโระมาใช้เป็น Pop Cuture ตลอดมา

  • เกม: ปรากฏในซีรีส์ Shin Megami Tensei, Nioh, Okami, Castlevania, Dark Souls และ Touhou Project โดยมักจะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง
  • อนิเมะ/มังงะ: มีการอ้างอิงถึงใน GeGeGe no Kitaro, Naruto, Bleach และ One Piece โดยส่วนใหญ่จะเป็นปีศาจโครงกระดูกที่น่าหวาดกลัว
  • ภาพยนตร์และละครญี่ปุ่น: บางครั้งกะชาดกุโระถูกนำเสนอในภาพยนตร์แนวสยองขวัญและแฟนตาซี เพื่อสะท้อนความเชื่อเรื่องวิญญาณอาฆาต

ความสามารถ และการออกล่ากินวิญญาณของมัน

ตำนานของกะชาดกุโระสะท้อนถึงความกลัวของมนุษย์ที่มีต่อสงคราม ความอดอยาก และความตายที่ไม่มีวันได้รับการปลดปล่อย มันจึงเป็นหนึ่งในโยไกที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของญี่ปุ่น

  • ไร้เสียง ไร้ตัวตน: กะชาดกุโระสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างเงียบสนิท แม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่ก็ตาม ทำให้เหยื่อแทบไม่สามารถรู้ตัวได้ว่ากำลังถูกล่า
  • การบดขยี้เหยื่อ: เมื่อพบเป้าหมาย กะชาดกุโระจะใช้มือกระดูกขนาดใหญ่จับเหยื่อแล้วบดขยี้ หรือฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ
  • การดูดกลืนพลังชีวิต: นอกจากการทำร้ายร่างกายแล้ว กะชาดกุโระยังสามารถดูดพลังชีวิตของเหยื่อ ทำให้พวกเขาเหี่ยวแห้งตายหรือสูญเสียวิญญาณ
  • อาฆาตและการหลอกหลอน: มันมักจะออกล่าในเวลากลางคืน โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน และเหยื่อจะได้ยินเสียงกระดูกขบกันเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่มันจะโจมตี

เข้าไปดูรายละเอียดความสามารถของโยไกตัวนี้เพิ่มเติมได้ที่ postjung

สรุป Gashadokuro คืออะไร ผีกระดูกแห่งความแค้น

Gashadokuro คืออะไร

โยไกที่มีรูปลักษณ์เป็นกระดูกยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของกระดูกและวิญญาณของผู้ที่ตายอย่างอนาถจากสงคราม โดยมักจะมีความแค้นและความโกรธแค้นที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย มันสามารถออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืนโดยเคลื่อนที่เงียบสนิท ตำนานของกะชาดกุโระจึงสะท้อนถึงความกลัว และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธแค้นในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

ปัจจุบัน ยังมีการปรากฏตัวให้เห็นหรือเปล่า ? 

ในปัจจุบันไม่มีรายงานการพบเห็น ผีกระดูกญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นเพราะเงื่อนไขเฉพาะในการกำเนิดของมัน คือการรวมตัวของโครงกระดูกจำนวนมากที่ถูกทอดทิ้งและถูกลืมเลือน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองประเทศญี่ปุ่นได้กลับมายืนหยัดในฐานะผู้นำด้านเศรษฐกิจและอาหารการกินที่มีความสะดวกสบาย ทำให้การฝังและเผาศพของผู้เสียชีวิตเป็นไปตามหลัก ซึ่งไม่ทิ้งโครงกระดูกเหลือทิ้งไว้

Gashadokuro ตัวใหญ่ได้ขนาดไหน ?

โยไกตัวนี้มักจะมีขนาดที่ใหญ่โตมาก โดยในบางตำนานบอกว่า มันสามารถสูงถึง 15 เมตร หรือ 50 ฟุต เลยทีเดียว มันจะมีรูปร่างเป็นกระดูกยักษ์ที่ประกอบขึ้นจากกระดูกของคนที่ตายไปในสภาพทุกข์ทรมาน เช่น จากสงครามหรือโรคภัยไข้เจ็บ และพลังของมันมักจะเป็นที่น่ากลัว เอาจริงๆ ก็เหมือนเปรตบ้านเรา แต่สิ่งนี้จะไม่ได้มาขอส่วนบุญแต่อย่างใด

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง